วันศุกร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2554

โรคของปลาหมอสี

สำหรับสาเหตุของการเกิดโรคที่สำคัญ ๆ มีดังนี้
1. นิสัยของตัวปลา ปลาในตระกูลเดียวกันมีพฤติกรรมต่างกัน บางตัวกินเนื้อ บางตัวกินพืช ถ้านำปลากินเนื้อมาเลี้ยงรวมกับปลากินพืชจะกัดกันและพฤติกรรมก้าวร้าว อาจทำให้อีกตัวหนึ่งหางขาดจึงต้องพิจารณาด้วยว่าเลี้ยงถูกต้องกลุ่มหรือไม่
2. ขนาดของปลา ถ้าขนาดแตกต่างกันมาก ปลาใหญ่จะกัดปลาเล็ก ควรคัดปลาให้มีขนาดใกล้เคียงกัน อัตราส่วนการปล่อยพ่อแม่เพื่อผสมพันธุ์เหมาะสม เพื่อมิให้เกิดการกัดกันเพราะแย่งตัวเมีย
3. พฤติกรรมผู้เลี้ยง ประชาชนส่วนใหญ่เข้าใจว่าปลาหมอมีความอดทน การให้อาหารสดทำให้น้ำเน่าเสีย บางฟาร์มสกปรกจะนำเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรามาแพร่ระบาด จึงต้องรักษาความสะอาด มิฉะนั้นปลาจะเครียดและมีโอกาสเป็นโรคสูง
4. ตัวเชื้อโรค โรคเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย พยาธิภายในและพยาธิภายนอก ปลาที่ได้รับเชื้อแบคทีเรีย อาการป่วยคล้ายกันคือ ตกเลือดตามตัวซอกเกล็ด โดยเฉพาะปลาสีจะไม่เข้มดังนั้นผู้เลี้ยงต้องมีการสังเกต หากมีบาดแผลตามลำตัวเป็นจุดแดง ๆ ครีบกร่อน ฯลฯ ถ้าเชื้อแบคทีเรียเกาะตามครีบ ทำให้ครีบกร่อน หรือครีบเปื่อย หางกร่อนและแตกเป็นซี่ ตาขุ่น ตาเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่นเหมือนตาเป็นต้อ ตาบอด การรักษาที่ไม่ถูกต้อง ปลาจะมีลักษณะท้องบวมขยายใหญ่ขึ้น
1. มีน้ำในช่องท้อง จะมีน้ำเลือดปนน้ำเหลืองภายในช่องท้อง
2. อวัยวะภายในขยายใหญ่ ตัวด่างขาว
3. สีตัวเข้มหรือดำมากขึ้น เกิดจากการติดเชื้อ
ข้อสังเกต ปลาป่วยจะขึ้นมาลอยตัวตามผิวหน้าน้ำเพื่อฮุบอากาศ จะกินอาหารลดลงเพราะถูกเชื้อแบคทีเรียทำลายไม่กินอาหารและตายในที่สุด
   ปลาหมอสีที่ได้รับเชื้อแบคทีเรียจะมีลักษณะแผลหลุมลึกอวัยวะภายในเน่า ท้องบวม ปลายครีบเปื่อย ปลาไม่ค่อยกินอาหารเนื่องจากติดเชื้อวัณโรค ปลาซึ่งการรักษาใช้เวลานานและไม่คุ้มค่าใช้จ่าย ส่วนใหญ่ใช้วิธีกำจัดปลามิให้แพร่เชื้อ หากเปิดภายในจะเห็นตุ่มสีขาว ท้องบวม ช่องขับถ่ายบวมแดง ครีบต่าง ๆ เปื่อยสีซีดลง ถ้ามีสีเข้มขึ้น (สีฟ้าจะเป็นสีดำ) หางเปื่อย ปลายครีบต่าง ๆ เปื่อย มีอาการอักเสบแผลหนองเน่าในกล้ามเนื้อ
    ลักษณะหางขาดอาจเกิดจากปลากัดกัน และมีเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วยทำให้ปลาตายได้ ลักษณะเด่นคือตาบวมใหญ่ (ตาโปน) ตาขุ่นขาว (ตาบอด) เนื่องจากเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ตา
 การติดเชื้อพวกพยาธิ มี 2 จำพวก

1. ปรสิตภายนอก เกาะตามตัวปลา เมือก ครีบ และเหงือก
2. ปรสิตภายใน เกาะตามกล้ามเนื้อ กระแสเลือด ทางเดินอาหาร
ปลาที่ได้รับเชื้อปรสิตภายในและภายนอกจะแสดงอาการเปื่อยคล้าย ๆ กัน หากมีพยาธิจำนวนมากปลาจะขับเมือกออก ถ้าพยาธิน้อยปลาขับเมือก พยาธิก็จะหลุดออกไปด้วย พยาธิที่เกาะตามตัวปลาจะดูดกินเมือก และน้ำเหลืองในตัวปลา ส่วนพยาธิตัวเล็กมักจะอยู่ตามใต้ซอกเกล็ดและทำลายเนื้อเยื่อของปลา ซึ่งจะสังเกตได้ง่ายสำหรับปลาสีอ่อน ๆ แต่ปลาสีส้ม สีเข้ม น้ำเงินดำดูยาก ถ้ามีอาการโรครุนแรงเกล็ดปลาจะหลุด ครีบเปื่อย ปลาบางชนิดเกิดจุดสีขาว ๆ เป็นเม็ด ๆ ตามตัวปลา เรียกว่า โรคจุดขาว การรักษาค่อนข้างยาก มีการสูญเสียสูงเพราะเลี้ยงในน้ำไม่สะอาด โรคอาจติดมาจากอาหารมีชีวิต เช่น หนอนแดง ลูกน้ำ ไรน้ำ ถ้าพยาธิเกาะตามเหงือก ๆ ใช้แลกเปลี่ยนก๊าซ หากมีปริมาณมากปลาหายใจไม่ออก เหงือกซีดลง ปลาลอยตัวตามผิวน้ำ
นอกจากนี้ยังมีพยาธิอีกกลุ่ม ตัวพยาธิเป็นสีเหลืองลักษณะคล้ายฟองน้ำ เกิดบนตัวปลาดูคล้ายสนิมเกาะบนตัวปลาการทำลายพยาธิชนิดนี้ค่อนข้างยาก เพราะมีเกราะหุ้มตัวอยู่ ถ้ามีสีสนิม ใช้เกลือแช่ทำซ้ำหลาย ๆ ครั้งให้เซลล์พยาธิแตก
ส่วนพยาธิอีกชนิดหนึ่งเป็นขนเส้นเล็ก ๆ เกาะตามตัวปลาซึ่งต่างกับเชื้อรา เชื้อราจะละเอียด ใยเชื้อราพริ้ว ๆ แต่ลักษณะพยาธิจะแข็งกว่า ถ้ามีพยาธิเข้าสู่ระบบประสาทภายในหรือสมอง สมองถูกทำลายปลาจะทุรนทุราย ว่ายน้ำควงสว่าน ว่ายขึ้นว่ายลงอย่างรวดเร็วเพราะพยาธิทำลายระบบประสาทของปลา
พยาธิทำลายระบบอวัยวะภายในเชื้อเกิดจากอาหารสดที่มีเชื้อโรคอยู่บริเวณระบบภายใน พยาธิที่ฝังตัวตามกล้ามเนื้อตัวปลา มีลักษณะเป็นเม็ดคล้ายเมล็ดข้าวสาร ปลาผอม สีคล้ำ รักษาไม่ได้ เพราะพยาธิสร้างเกราะหุ้มตัว หากพยาธิแพร่กระจายทั้งตัว ปลาจะมีสีซีด ปลายครีบหางขาดและแตก กว่าจะรู้ว่าปลาป่วยก็ใกล้ตาย
การสังเกตว่าปลาติดเชื้อจากพยาธิภายนอกลักษณะการว่ายน้ำจะถูตัวข้างตู้ ก้อนหิน ต้นไม้ ผิวตัวซีด ตาขุ่น ปลายครีบกร่อน หางกุด ครีบหางครีบหลังเปื่อยขาดคล้ายเชื้อรา การรักษาปลาที่เป็นโรคจุดขาวในรายเริ่มแรกเพียง 5-10 เม็ดซึ่งอาการยังไม่ลุกลาม
การป้องกัน
การเลี้ยงปลาไม่ให้เกิดโรค โดยซื้อพันธุ์ปลาจากแหล่งเชื่อถือได้มีสุขอนามัยที่ดี หากฟาร์มนั้นมีประวัติปลาป่วยก็ไม่ควรซื้อมาเลี้ยง หรือการนำเข้าปลาจากต่างประเทศ ควรขอใบรับรองคุณภาพสัตว์น้ำจากประเทศผู้ส่งออกมาด้วย เพราะอาจมีปัญหาเกี่ยวกับเชื้อไวรัส และวัณโรคปลา โดยเฉพาะเชื้อไวรัสไม่สามารถรักษาได้และยังเป็นอันตรายกับปลาเก่าในฟาร์มอีกด้วยปลาใหม่ที่นำเข้ามาควรกักกันเชื้อโรคและใช้สารเคมีฆ่าพยาธิเป็นเวลา 1 สัปดาห์ ถ้าปลาปกติจึงปล่อยเลี้ยงรวมกับปลาเก่าและหมั่นสังเกต หากปลามีอาการผิดปกติ เช่น ว่ายเอาตัวถูกข้างตู้ หรือไม่กินอาหาร ฯลฯ

 สารเคมีที่ใช้รักษาโรคปลา
1. เกลือ เกลือมีประโยชน์ช่วยรักษาโรคปลากำจัดพยาธิภายนอก ถ้าไม่มีเครื่องชั่งก็ควรใช้เกลือที่ความเข้มข้นสูงมาก ๆ พอปลาดิ้นพลาด ๆ สักพักจึงจับขึ้นก็จะช่วยกำจัดพยาธิได้ระดับหนึ่ง การใส่เกลือในช่วงการลำเลียงขนส่ง การถ่ายเทน้ำและย้ายตู้ปลา ช่วยกำจัดปรสิตภายนอกและลดความเครียด ทั้งยังช่วยลดความเป็นพิษของสารแอมโมเนีย ไนไทรต์ เกลือเป็นสารเคมีซึ่งมีประโยชน์สูงและปลอดภัยด้วย
การกำจัดพยาธิภายนอก ใส่เกลือ 1-3 % แช่นาน 30 นาทีแล้วเปลี่ยนน้ำ ส่วนการลำเลียงขนส่งใส่เกลือ 0.1-1 %
2. ฟอร์มาลิน เพื่อกำจัดพยาธิภายนอกที่มีผลต่อการลดออกซิเจนในน้ำ อาจถึง 0 ดังนั้น การใช้ฟอร์มาลินจึงต้องเปิดแอร์ปั๊มตลอดเวลาห้ามปิด มิฉะนั้นปลาจะตายเพราะขาดออกซิเจน
การซื้อฟอร์มาลิน ต้องบรรจุในขวดสีชา ถ้าขวดใสคุณภาพจะเสื่อมเร็ว ดูวันผลิต หรือกลับขวดดูว่ามีตะกอนสีขาวหรือไม่ ถ้ามีตะกอนสีขาว ฟอร์มาลินเป็นฟอร์มาลดีไฮด์
อัตราส่วนฟอร์มาลิน 25 ซีซี. ต่อน้ำ 1,000 ลิตร ขนาดคู่ 100 ลิตร ใส่ฟอร์มาลิน 2.3 - 5 ซีซี
การรักษาโรคจุดขาว หากใช้ร่วมกับมาลาไค้ท์กรีนค่อนข้างอันตราย ไม่ควรนำมาใช้กับปลาบริโภค และอาจเป็นบ่อเกิดโรคมะเร็งผิวหนังแก่ผู้ใช้ ผู้ใช้จึงต้องสวมถุงมือ อัตราการใช้ฟอร์มาลิน 25 ซีซีต่อน้ำ 1,000 ลิตร ผสมมาลาไค้ท์กรีน 0.1 กรัม หรือใช้มาลาไค้ท์กรีน 1 กรัมละลายน้ำ 100 ซีซี นำไปเติมตู้ปลา 1 ลิตร มาลาไค้ท์กรีนละลายน้ำแล้วมีอายุการใช้งาน 1 เดือน ถ้าระยะเวลานานกว่านี้ คุณภาพจะลดลงและระวังอย่าให้สัมผัสหรือถูกมือโดยตรง
3. ด่างทับทิม ใช้กำจัดพยาธิภายนอก และฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา ในอัตรา 2-4 กรัม ต่อน้ำ 1 ตัน หรือ 0.2-0.4 กรัมต่อน้ำ 100 ลิตร ถ้าใช้ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา ความเข้มข้นสูงมากขึ้น หากใช้กับตู้ปลาที่มีพรรณไม้น้ำ ด่างทับทิมจะทำลายต้นไม้ ซึ่งอาจตายได้ หรือใช้ด่างทับทิมฆ่าเชื้อโรคอุปกรณ์ต่าง ๆ นั้นปริมาณค่อนข้างสูง ถ้าไม่มีเครื่องชั่ง ใส่ด่างทับทิมละลายน้ำให้มีสีม่วงเข้ม แล้วนำกระชอนหรือสายยางแช่
ข้อควรระมัดระวัง อย่าใช้ด่างทับทิมร่วมกับฟอร์มาลิน เพราะเมื่อทำปฏิกิริยาทางเคมีเกิดการฆ่าฤทธิ์กัน ความสามารถทำลายพยาธิลดลง ไม่มีผลต่อการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และปรสิต ด่างทับทิมบางคนคิดว่าไม่มีอันตราย ใช้มือลงไปกวน ทำให้เกิดการไหม้ของผิวหนังได้ หลังมือจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล
4. ดิทเทอร์เร็กซ์ เป็นยาฆ่าแมลงชนิดหนึ่งใช้ฆ่าเห็บ หนอนสมอ (เส้นด้ายขาว ๆ) บางคนใช้วิธีจับออก แต่ไข่จะอยู่แพร่พันธุ์ได้อีก ควรใช้ยาดีกว่า ซึ่งมีชื่อทางการค้าหลายชนิด สำหรับยาฆ่าแมลงอย่านำมาใช้กับปลาจะดีกว่า อัตราการใช้ค่อนข้างต่ำมาก 0.25-0.5 กรัมต่อน้ำ 1 ตัน ถ้าใช้ปริมาณสูงจะมีผลต่อการฆ่าปลาโดยตรงมากกว่าฆ่าพยาธิ หลังจากใช้ดิพเทอร์เร็กซ์แล้วปิดให้แน่น เพราะสามารถดูดความชื้นในอากาศแล้วแปรสภาพเป็นของเหลว หรือน้ำ ซึ่งจะเสื่อมคุณภาพทำให้การรักษาไม่ค่อยได้ผล
ยาปฏิชีวนะ ยาต้านจุลชีพ สามารถรักษาโรคติดเชื้อมีหลายชนิด เช่น ออกซี่ นอร์ฟอกซ์ ซัลฟา ไตรเมโทฟีน มีชื่อทางการค้าคือ ยาเหลืองญี่ปุ่น เอทธิลฟลาวิน หากปลาไม่เคยใช้ยามาก่อน ก็เลือกใช้ได้เริ่มจากออกซี่ แต่ถ้ามีการใช้ยาปฏิชีวนะป้องกันเป็นระยะ ๆ เมื่อปลาเกิดโรคจะดื้อยา การใช้ยาติดต่อกันเป็นเวลานาน หากเกิดโรคควรเปลี่ยนชนิดอื่น ออกซี่ 0.1-1 กรัมต่อน้ำ 100 ลิตรโดยการแช่ กรณีที่ปลาป่วยมากจากเชื้อแบคทีเรียในอาหาร ปลาจะไม่กินอาหาร การรักษาก็จะไม่ค่อยได้ผล ต้องสังเกตถ้าปลากินอาหารลดลง สาเหตุอาจมาจากการป่วย ซึ่งสถาบันวิจัยสุขภาพสัตว์น้ำ มีคลินิกโรคสัตว์น้ำ ให้ติดต่อมาในวันและเวลาราชการ ถ้าเป็นพยาธิภายนอกปลาหายป่วยก็เลิกใช้ยาปฏิชีวนะ โดยใช้ติดต่อกัน 5-7 วันและยังไม่ต้องเปลี่ยนน้ำ

ที่มาhttp://www.nicaonline.com/articles/site/view_article.asp?idarticle=124

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น