วันศุกร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2554

สายพันธุ์ปลาหมอสี

ปลาหมอสีสกุลแอริสโทโครมิส
     ลักษณะของจะงอยปากที่เป็นสันนูนขึ้นมาคล้ายดั้งจมูกของชาวกรีก ซึ่งมีเพียง 1 ชนิดคือ ปลาหมอคริสตี้ ลักษณะลำตัวยาวแบนข้างหัวโต หน้ายาว หน้านัยน์ตาหักเป็นมุม แล้วลาดโค้งเข้าหาแนวสันของกะโหลก ตามีขนาดปานกลางคอดหางสั้น ครีบกระโดงที่ส่วนปลายเป็นก้านครีบอ่อนจะยกสูงขึ้นจากแนวของส่วนที่เป็นก้านครีบเดี่ยว ปลายกระโดงมนและยาวจรดโคนหาง ครีบอกและตะเกียบมีขนาดใกล้เคียงกัน ครีบหางมีขนาดใหญ่ ปลายครีบเกือบตัดตรง กินปลาที่เล็กกว่าเป็นอาหาร จุดเด่นของปลาหมอคริสตี้ ในระยะโตเต็มวัยมีหัวสีฟ้าคราม ลำตัวสีน้ำเงินแถบสีดำ ขอบเกล็ดสีดำ ครีบกระโดงส่วนที่เป็นก้านครีบเดี่ยวสีฟ้า ครีบก้นสีเหลือง มีจุดไข่สีฟ้า ตะเกียบสีเหลืองขอบฟ้าครีบอกเหลืองใส ตัวผู้ขนาดโตเต็มที่ความยาวสุด 30 เซนติเมตร การผสมพันธุ์ ตัวเมียอมไข่ไว้ในปาก จนกระทั่งไข่ฟักเป็นตัว ในระยะนี้แม่ปลายังคงดูแลลูกต่อไปอีกเป็นเวลา 1 เดือน การวางไข่แต่ละครั้ง ปลาจะให้ลูกประมาณ 30 ตัว




ปลาหมอคริสตี้




ปลาหมอสีสกุลออโลโนคารา      ลักษณะพิเศษของรูที่ปรากฎอยู่ตามหน้าผาก แก้ม และขากรรไกรล่าง รูเหล่านี้จะเรียงเป็นแถวเช่นเดียวกับรูของเส้นข้างตัวเส้นประสาทเชื่อมโยงติดต่อกันเป็นระบบ ทำหน้าที่ในการปรับความกดดันของน้ำในขณะที่ปลาเคลื่อนไหวและใช้จับความเคลื่อนไหวของสัตว์ที่เป็นอาหารลักษณะประจำอีกอย่างหนึ่งของปลาสกุลออโลโนคารา คือ มีเกล็ดที่แก้ม 1 แถว หรือ 1 แถวครึ่ง
     มาลาวีเหลือง ลำตัวยาวเรียว หัวมีขนาดปานกลางได้สัดส่วนกับลำตัว ตาโตและโปน ช่วงตาห่างปากเฉียงขึ้นเล็กน้อย คอดหางยาวเรียว ครีบกระโดงมีปลายเรียวยาว ส่วนปลายสุดของกระโดงยาวเกือบจรดปลายหาง ครีบหางเว้า ครีบก้นมีขนาดค่อนข้างใหญ่ตะเกียบใหญ่กว่าครีบอกและปลายตะเกียบยาวเลยจุดเริ่มของครีบหาง ลักษณะเด่นของมาลาวีเหลือง พื้นลำตัวมีสีเหลืองและแถบสีน้ำเงินขวางลำตัว 5-7 แถบ แก้มสีน้ำเงิน กระโดงสีเหลือง มาลาวีเหลืองเป็นปลาขนาดเล็ก ตัวเมียมีขนาดเล็กกว่าตัวผู้กินสัตว์น้ำขนาดเล็กในธรรมชาติเป็นอาหาร การผสมพันธุ์โดยตัวเมียอมไข่ ส่วนการเลี้ยง ผู้เลี้ยงจะให้อาหารสำเร็จรูป



     มาลาวีสีน้ำเงินคอแดง ลำตัวยาวแบนข้างหัวมีขนาดปานกลาง นัยน์ตาโต จะงอยปากสั้น ปากเฉียงขึ้นเล็กน้อย คอดหางเรียวยาว ครีบกระโดงมีความสูงไล่จากจุดเริ่มจนถึงปลายหางมีความลาดเอียงสวยงาม ปลาครีบกระโดงยื่นออกมาจรดส่วนหางครีบก้นมีขนาดใกล้เคียงกับส่วนที่เป็นก้านครีบอ่อนของครีบกระโดง ครีบหางที่ปลายเว้าเล็กน้อย ตะเกียบยาวเลยจุดเริ่มต้นของครีบก้น ครีบอกมีขนาดเล็กที่สุด
     มาลาวีห้าสี เป็นปลาลูกผสมมีรูปร่างคล้ายมาลาวีน้ำเงินแต่หัวโตกว่า สันของสโลพหน้าครีบกระโดงนูนจะงอยปากทู่ นัยน์ตาโต คอดหางสั้น ครีบกระโดงมีส่วนปลายยาวเลยจุดเริ่มต้นของครีบก้น กินอาหารสำเร็จรูปหรือให้ไรน้ำเค็มเป็นอาหารเสริมจะช่วยให้ปลามีสีสันสดใสยิ่งขึ้น หมอมาลาวีแดง จุดเด่นของปลาหมอมาลาวีแดงอยู่ที่สีส้มแดงบริเวณส่วนต้นของลำตัวตั้งแต่ช่วงตา ถึงฐานครีบกระโดงหลังช่องเหงือกและหน้าอกโดยรอบ ลำตัวมีพื้นสีฟ้าสลับด้วยเกล็ดสีส้ม และมีแถบสีดำพาดขวางลำตัวอยู่บริเวณใต้ครีบกระโดง 7 แถบ ท้องสีส้มแก้มและจะงอยปากสีฟ้าปนน้ำเงินแซมด้วยสีแดงประกายครีบกระโดงมีฐานสีฟ้าขอบสีขาวแซมสีส้ม และปลายกระโดงมีลายสีส้ม ครีบอกสีส้ม ตะเกียบมีขอบสีขาวหรือดำ ครีบก้นสีส้มมีจุดไข่ในปลาบางตัว และครีบหางมีพื้นสีส้มแดงลายฟ้า


     หมอมาลาวีน้ำเงิน จุดเด่นของปลาหมอมาลาวีน้ำเงินอยู่ที่สีของลำตัวที่กล่าวข้างต้น นอกจากนี้ครีบกระโดงมีขอบสีขาวและปลายครีบมีสีเหลืองอมฟ้า ตะเกียบสีน้ำเงินขอบขาวครีบก้นมีฐานสีน้ำเงินดำ ตัวครีบสีน้ำเงินปนฟ้าและมีจุดสีเหลืองแซม ครีบหางมีพื้นสีเหลืองปนขาวเงินประดับด้วยจุดและประสีแดงเข้ม ดูคล้ายหางนกยูง อาหาร กินสัตว์น้ำในธรรมชาติประเภทไม่มีกระดูกสันหลัง




 ปลาหมอสีสกุลโคพาไดโครมิส

     สมาชิกของปลาสกุลนี้รูปร่างแตกต่างกันไปตามชนิด ในช่วงนอกฤดูผสมพันธุ์วางไข่ การหากินรวมกันเป็นฝูงใหญ่ อาหารหลัก คือ แพลงก์ตอนพืชและแพลงก์ตอนสัตว์ ดังนั้นปากของมันจึงพัฒนาให้เหมาะสมต่อการจับอาหารที่มีขาดเล็ก โดยริมฝีปากบนและล่างเชื่อมติดกันมีลักษณะคล้ายท่อ ซึ่งสามารถยืดและหดได้ ชนิดปลาในสกุลนี้ อาทิ หมอบอร์เลยี คาดันโก จุดเด่นของปลาหมอบอร์เลยี อยู่ที่ครีบตะเกียบที่มีปลายยาวเรียวเป็นสายรยางค์ ครีบหางมีขนาดใหญ่ปลายเว้าไม่ลึก ครีบหูบางและโปร่งใสจนเห็นก้านครีบชัดเจน ลักษณะของสีแตกต่างกันไปตามท้องถิ่นที่อยู่อาศัย ขนาดตัวผู้มีความยาวสุด 15 เซนติเมตร ตัวเมียมีขนาดเล็กกว่า การผสมพันธุ์ ตัวผู้มีนิสัยก้าวร้าวและหวงถิ่น ตัวเมียฟักไข่ด้วยปาก อาหารกินแพลงก์ตอนทั้งพืชและสัตว์ในธรรมชาติ


หมอบอร์เลยี


ปลาหมอสีสกุลลาบิโอโทรเฟียส     สกุลนี้มีลักษณะเด่นและเป็นเอกลักษณ์ที่ปลายจะงอยปากที่ยืนล้ำเลยออกไปจากริมฝีปากบนลักษณะคล้ายปลายจมูกที่โด่งปลาสกุลนี้มีเพียง 2 ชนิด หมอปากโลมาตัวอ้วนห้าสี ลำตัวสีเหลืองส้มและมีจุดดำกระจายทั่วไป นัยน์ตาไม่มีสีแดงและมีจุดไข่ที่ครีบก้น หมอปากโลมาตัวผอม มีลำตัวสั้นและผอมกว่าหมอปากโลมาตัวอ้วน แต่จะงอยปากลาดเรียวแหลมกว่า มีสีเหลืองสนิมอยู่ในแนวสันหลัง ส่วนบนของข้างลำตัว ตัวผู้ความยาวสุดประมาณ 12-13 เซนติเมตร ตัวเมียมีขนาดเล็กกว่า ปลาที่เลี้ยงให้อาหารสำเร็จรูป

หมอปากโลมาตัวอ้วนห้าสี


     สำหรับท่านที่ต้องการเลี้ยงปลาต้องรู้จักคุณลักษณะ ชนิดและขนาด เช่น ปลาแคระสามารถเลี้ยงเป็นฝูงได้ ปลาหมอสีส่วนใหญ่จะดุมักเลี้ยงเดี่ยว ส่วนขนาดตู้ปลาขึ้นอยู่กับสถานที่และชนิดปลา ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ๆ ละ 30 เปอร์เซ็นต์ ตู้ขนาดดังกล่าวใส่เกลือเม็ด 1 กำมือ
ขอขอบคุณ  คุณยุพินท์  วิวัฒนชัยเศรษฐ์
วารสารการประมง ปีที่ 58 ฉบับที่ 5 เดือนกันยายน – ตุลาคม 2548 หน้า 421 - 429

http://www.fisheries.go.th/fpo-phichit/newproduck/mo%20coler.htm

โรคของปลาหมอสี

สำหรับสาเหตุของการเกิดโรคที่สำคัญ ๆ มีดังนี้
1. นิสัยของตัวปลา ปลาในตระกูลเดียวกันมีพฤติกรรมต่างกัน บางตัวกินเนื้อ บางตัวกินพืช ถ้านำปลากินเนื้อมาเลี้ยงรวมกับปลากินพืชจะกัดกันและพฤติกรรมก้าวร้าว อาจทำให้อีกตัวหนึ่งหางขาดจึงต้องพิจารณาด้วยว่าเลี้ยงถูกต้องกลุ่มหรือไม่
2. ขนาดของปลา ถ้าขนาดแตกต่างกันมาก ปลาใหญ่จะกัดปลาเล็ก ควรคัดปลาให้มีขนาดใกล้เคียงกัน อัตราส่วนการปล่อยพ่อแม่เพื่อผสมพันธุ์เหมาะสม เพื่อมิให้เกิดการกัดกันเพราะแย่งตัวเมีย
3. พฤติกรรมผู้เลี้ยง ประชาชนส่วนใหญ่เข้าใจว่าปลาหมอมีความอดทน การให้อาหารสดทำให้น้ำเน่าเสีย บางฟาร์มสกปรกจะนำเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรามาแพร่ระบาด จึงต้องรักษาความสะอาด มิฉะนั้นปลาจะเครียดและมีโอกาสเป็นโรคสูง
4. ตัวเชื้อโรค โรคเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย พยาธิภายในและพยาธิภายนอก ปลาที่ได้รับเชื้อแบคทีเรีย อาการป่วยคล้ายกันคือ ตกเลือดตามตัวซอกเกล็ด โดยเฉพาะปลาสีจะไม่เข้มดังนั้นผู้เลี้ยงต้องมีการสังเกต หากมีบาดแผลตามลำตัวเป็นจุดแดง ๆ ครีบกร่อน ฯลฯ ถ้าเชื้อแบคทีเรียเกาะตามครีบ ทำให้ครีบกร่อน หรือครีบเปื่อย หางกร่อนและแตกเป็นซี่ ตาขุ่น ตาเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่นเหมือนตาเป็นต้อ ตาบอด การรักษาที่ไม่ถูกต้อง ปลาจะมีลักษณะท้องบวมขยายใหญ่ขึ้น
1. มีน้ำในช่องท้อง จะมีน้ำเลือดปนน้ำเหลืองภายในช่องท้อง
2. อวัยวะภายในขยายใหญ่ ตัวด่างขาว
3. สีตัวเข้มหรือดำมากขึ้น เกิดจากการติดเชื้อ
ข้อสังเกต ปลาป่วยจะขึ้นมาลอยตัวตามผิวหน้าน้ำเพื่อฮุบอากาศ จะกินอาหารลดลงเพราะถูกเชื้อแบคทีเรียทำลายไม่กินอาหารและตายในที่สุด
   ปลาหมอสีที่ได้รับเชื้อแบคทีเรียจะมีลักษณะแผลหลุมลึกอวัยวะภายในเน่า ท้องบวม ปลายครีบเปื่อย ปลาไม่ค่อยกินอาหารเนื่องจากติดเชื้อวัณโรค ปลาซึ่งการรักษาใช้เวลานานและไม่คุ้มค่าใช้จ่าย ส่วนใหญ่ใช้วิธีกำจัดปลามิให้แพร่เชื้อ หากเปิดภายในจะเห็นตุ่มสีขาว ท้องบวม ช่องขับถ่ายบวมแดง ครีบต่าง ๆ เปื่อยสีซีดลง ถ้ามีสีเข้มขึ้น (สีฟ้าจะเป็นสีดำ) หางเปื่อย ปลายครีบต่าง ๆ เปื่อย มีอาการอักเสบแผลหนองเน่าในกล้ามเนื้อ
    ลักษณะหางขาดอาจเกิดจากปลากัดกัน และมีเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วยทำให้ปลาตายได้ ลักษณะเด่นคือตาบวมใหญ่ (ตาโปน) ตาขุ่นขาว (ตาบอด) เนื่องจากเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ตา
 การติดเชื้อพวกพยาธิ มี 2 จำพวก

1. ปรสิตภายนอก เกาะตามตัวปลา เมือก ครีบ และเหงือก
2. ปรสิตภายใน เกาะตามกล้ามเนื้อ กระแสเลือด ทางเดินอาหาร
ปลาที่ได้รับเชื้อปรสิตภายในและภายนอกจะแสดงอาการเปื่อยคล้าย ๆ กัน หากมีพยาธิจำนวนมากปลาจะขับเมือกออก ถ้าพยาธิน้อยปลาขับเมือก พยาธิก็จะหลุดออกไปด้วย พยาธิที่เกาะตามตัวปลาจะดูดกินเมือก และน้ำเหลืองในตัวปลา ส่วนพยาธิตัวเล็กมักจะอยู่ตามใต้ซอกเกล็ดและทำลายเนื้อเยื่อของปลา ซึ่งจะสังเกตได้ง่ายสำหรับปลาสีอ่อน ๆ แต่ปลาสีส้ม สีเข้ม น้ำเงินดำดูยาก ถ้ามีอาการโรครุนแรงเกล็ดปลาจะหลุด ครีบเปื่อย ปลาบางชนิดเกิดจุดสีขาว ๆ เป็นเม็ด ๆ ตามตัวปลา เรียกว่า โรคจุดขาว การรักษาค่อนข้างยาก มีการสูญเสียสูงเพราะเลี้ยงในน้ำไม่สะอาด โรคอาจติดมาจากอาหารมีชีวิต เช่น หนอนแดง ลูกน้ำ ไรน้ำ ถ้าพยาธิเกาะตามเหงือก ๆ ใช้แลกเปลี่ยนก๊าซ หากมีปริมาณมากปลาหายใจไม่ออก เหงือกซีดลง ปลาลอยตัวตามผิวน้ำ
นอกจากนี้ยังมีพยาธิอีกกลุ่ม ตัวพยาธิเป็นสีเหลืองลักษณะคล้ายฟองน้ำ เกิดบนตัวปลาดูคล้ายสนิมเกาะบนตัวปลาการทำลายพยาธิชนิดนี้ค่อนข้างยาก เพราะมีเกราะหุ้มตัวอยู่ ถ้ามีสีสนิม ใช้เกลือแช่ทำซ้ำหลาย ๆ ครั้งให้เซลล์พยาธิแตก
ส่วนพยาธิอีกชนิดหนึ่งเป็นขนเส้นเล็ก ๆ เกาะตามตัวปลาซึ่งต่างกับเชื้อรา เชื้อราจะละเอียด ใยเชื้อราพริ้ว ๆ แต่ลักษณะพยาธิจะแข็งกว่า ถ้ามีพยาธิเข้าสู่ระบบประสาทภายในหรือสมอง สมองถูกทำลายปลาจะทุรนทุราย ว่ายน้ำควงสว่าน ว่ายขึ้นว่ายลงอย่างรวดเร็วเพราะพยาธิทำลายระบบประสาทของปลา
พยาธิทำลายระบบอวัยวะภายในเชื้อเกิดจากอาหารสดที่มีเชื้อโรคอยู่บริเวณระบบภายใน พยาธิที่ฝังตัวตามกล้ามเนื้อตัวปลา มีลักษณะเป็นเม็ดคล้ายเมล็ดข้าวสาร ปลาผอม สีคล้ำ รักษาไม่ได้ เพราะพยาธิสร้างเกราะหุ้มตัว หากพยาธิแพร่กระจายทั้งตัว ปลาจะมีสีซีด ปลายครีบหางขาดและแตก กว่าจะรู้ว่าปลาป่วยก็ใกล้ตาย
การสังเกตว่าปลาติดเชื้อจากพยาธิภายนอกลักษณะการว่ายน้ำจะถูตัวข้างตู้ ก้อนหิน ต้นไม้ ผิวตัวซีด ตาขุ่น ปลายครีบกร่อน หางกุด ครีบหางครีบหลังเปื่อยขาดคล้ายเชื้อรา การรักษาปลาที่เป็นโรคจุดขาวในรายเริ่มแรกเพียง 5-10 เม็ดซึ่งอาการยังไม่ลุกลาม
การป้องกัน
การเลี้ยงปลาไม่ให้เกิดโรค โดยซื้อพันธุ์ปลาจากแหล่งเชื่อถือได้มีสุขอนามัยที่ดี หากฟาร์มนั้นมีประวัติปลาป่วยก็ไม่ควรซื้อมาเลี้ยง หรือการนำเข้าปลาจากต่างประเทศ ควรขอใบรับรองคุณภาพสัตว์น้ำจากประเทศผู้ส่งออกมาด้วย เพราะอาจมีปัญหาเกี่ยวกับเชื้อไวรัส และวัณโรคปลา โดยเฉพาะเชื้อไวรัสไม่สามารถรักษาได้และยังเป็นอันตรายกับปลาเก่าในฟาร์มอีกด้วยปลาใหม่ที่นำเข้ามาควรกักกันเชื้อโรคและใช้สารเคมีฆ่าพยาธิเป็นเวลา 1 สัปดาห์ ถ้าปลาปกติจึงปล่อยเลี้ยงรวมกับปลาเก่าและหมั่นสังเกต หากปลามีอาการผิดปกติ เช่น ว่ายเอาตัวถูกข้างตู้ หรือไม่กินอาหาร ฯลฯ

 สารเคมีที่ใช้รักษาโรคปลา
1. เกลือ เกลือมีประโยชน์ช่วยรักษาโรคปลากำจัดพยาธิภายนอก ถ้าไม่มีเครื่องชั่งก็ควรใช้เกลือที่ความเข้มข้นสูงมาก ๆ พอปลาดิ้นพลาด ๆ สักพักจึงจับขึ้นก็จะช่วยกำจัดพยาธิได้ระดับหนึ่ง การใส่เกลือในช่วงการลำเลียงขนส่ง การถ่ายเทน้ำและย้ายตู้ปลา ช่วยกำจัดปรสิตภายนอกและลดความเครียด ทั้งยังช่วยลดความเป็นพิษของสารแอมโมเนีย ไนไทรต์ เกลือเป็นสารเคมีซึ่งมีประโยชน์สูงและปลอดภัยด้วย
การกำจัดพยาธิภายนอก ใส่เกลือ 1-3 % แช่นาน 30 นาทีแล้วเปลี่ยนน้ำ ส่วนการลำเลียงขนส่งใส่เกลือ 0.1-1 %
2. ฟอร์มาลิน เพื่อกำจัดพยาธิภายนอกที่มีผลต่อการลดออกซิเจนในน้ำ อาจถึง 0 ดังนั้น การใช้ฟอร์มาลินจึงต้องเปิดแอร์ปั๊มตลอดเวลาห้ามปิด มิฉะนั้นปลาจะตายเพราะขาดออกซิเจน
การซื้อฟอร์มาลิน ต้องบรรจุในขวดสีชา ถ้าขวดใสคุณภาพจะเสื่อมเร็ว ดูวันผลิต หรือกลับขวดดูว่ามีตะกอนสีขาวหรือไม่ ถ้ามีตะกอนสีขาว ฟอร์มาลินเป็นฟอร์มาลดีไฮด์
อัตราส่วนฟอร์มาลิน 25 ซีซี. ต่อน้ำ 1,000 ลิตร ขนาดคู่ 100 ลิตร ใส่ฟอร์มาลิน 2.3 - 5 ซีซี
การรักษาโรคจุดขาว หากใช้ร่วมกับมาลาไค้ท์กรีนค่อนข้างอันตราย ไม่ควรนำมาใช้กับปลาบริโภค และอาจเป็นบ่อเกิดโรคมะเร็งผิวหนังแก่ผู้ใช้ ผู้ใช้จึงต้องสวมถุงมือ อัตราการใช้ฟอร์มาลิน 25 ซีซีต่อน้ำ 1,000 ลิตร ผสมมาลาไค้ท์กรีน 0.1 กรัม หรือใช้มาลาไค้ท์กรีน 1 กรัมละลายน้ำ 100 ซีซี นำไปเติมตู้ปลา 1 ลิตร มาลาไค้ท์กรีนละลายน้ำแล้วมีอายุการใช้งาน 1 เดือน ถ้าระยะเวลานานกว่านี้ คุณภาพจะลดลงและระวังอย่าให้สัมผัสหรือถูกมือโดยตรง
3. ด่างทับทิม ใช้กำจัดพยาธิภายนอก และฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา ในอัตรา 2-4 กรัม ต่อน้ำ 1 ตัน หรือ 0.2-0.4 กรัมต่อน้ำ 100 ลิตร ถ้าใช้ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา ความเข้มข้นสูงมากขึ้น หากใช้กับตู้ปลาที่มีพรรณไม้น้ำ ด่างทับทิมจะทำลายต้นไม้ ซึ่งอาจตายได้ หรือใช้ด่างทับทิมฆ่าเชื้อโรคอุปกรณ์ต่าง ๆ นั้นปริมาณค่อนข้างสูง ถ้าไม่มีเครื่องชั่ง ใส่ด่างทับทิมละลายน้ำให้มีสีม่วงเข้ม แล้วนำกระชอนหรือสายยางแช่
ข้อควรระมัดระวัง อย่าใช้ด่างทับทิมร่วมกับฟอร์มาลิน เพราะเมื่อทำปฏิกิริยาทางเคมีเกิดการฆ่าฤทธิ์กัน ความสามารถทำลายพยาธิลดลง ไม่มีผลต่อการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และปรสิต ด่างทับทิมบางคนคิดว่าไม่มีอันตราย ใช้มือลงไปกวน ทำให้เกิดการไหม้ของผิวหนังได้ หลังมือจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล
4. ดิทเทอร์เร็กซ์ เป็นยาฆ่าแมลงชนิดหนึ่งใช้ฆ่าเห็บ หนอนสมอ (เส้นด้ายขาว ๆ) บางคนใช้วิธีจับออก แต่ไข่จะอยู่แพร่พันธุ์ได้อีก ควรใช้ยาดีกว่า ซึ่งมีชื่อทางการค้าหลายชนิด สำหรับยาฆ่าแมลงอย่านำมาใช้กับปลาจะดีกว่า อัตราการใช้ค่อนข้างต่ำมาก 0.25-0.5 กรัมต่อน้ำ 1 ตัน ถ้าใช้ปริมาณสูงจะมีผลต่อการฆ่าปลาโดยตรงมากกว่าฆ่าพยาธิ หลังจากใช้ดิพเทอร์เร็กซ์แล้วปิดให้แน่น เพราะสามารถดูดความชื้นในอากาศแล้วแปรสภาพเป็นของเหลว หรือน้ำ ซึ่งจะเสื่อมคุณภาพทำให้การรักษาไม่ค่อยได้ผล
ยาปฏิชีวนะ ยาต้านจุลชีพ สามารถรักษาโรคติดเชื้อมีหลายชนิด เช่น ออกซี่ นอร์ฟอกซ์ ซัลฟา ไตรเมโทฟีน มีชื่อทางการค้าคือ ยาเหลืองญี่ปุ่น เอทธิลฟลาวิน หากปลาไม่เคยใช้ยามาก่อน ก็เลือกใช้ได้เริ่มจากออกซี่ แต่ถ้ามีการใช้ยาปฏิชีวนะป้องกันเป็นระยะ ๆ เมื่อปลาเกิดโรคจะดื้อยา การใช้ยาติดต่อกันเป็นเวลานาน หากเกิดโรคควรเปลี่ยนชนิดอื่น ออกซี่ 0.1-1 กรัมต่อน้ำ 100 ลิตรโดยการแช่ กรณีที่ปลาป่วยมากจากเชื้อแบคทีเรียในอาหาร ปลาจะไม่กินอาหาร การรักษาก็จะไม่ค่อยได้ผล ต้องสังเกตถ้าปลากินอาหารลดลง สาเหตุอาจมาจากการป่วย ซึ่งสถาบันวิจัยสุขภาพสัตว์น้ำ มีคลินิกโรคสัตว์น้ำ ให้ติดต่อมาในวันและเวลาราชการ ถ้าเป็นพยาธิภายนอกปลาหายป่วยก็เลิกใช้ยาปฏิชีวนะ โดยใช้ติดต่อกัน 5-7 วันและยังไม่ต้องเปลี่ยนน้ำ

ที่มาhttp://www.nicaonline.com/articles/site/view_article.asp?idarticle=124

ปลาหมอสี

แหล่งกำเนิดปลาหมอสีมาลาวี เป็นทะเลสาบน้ำจืดในทวีปแอฟริกา มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 9 ของโลก พื้นที่ชายฝั่งส่วนใหญ่เป็นหาดทรายหรือทรายเลนที่มีวัชพืชขึ้นปกคลุม หาดทรายจะอยู่สลับกับชายฝั่งที่เป็นโขดหิน มีความโปร่งใสของน้ำติดอันดับโลก ค่าความเป็นกรดเป็นด่างอยู่ระหว่าง 7.8 - 8.5 มีปลาประมาณ 500 ชนิด ปลาที่อาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าวไม่มีการอพยพย้ายถิ่นที่อยู่ จากสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมือนกัน ทำให้แพทเทิร์นของสีปลาแตกต่างกันจึงส่งผลให้มีประชากรหลากหลาย เช่น ปลาหมอมาลาวีสีน้ำเงิน จะมีสีน้ำเงินล้วน น้ำเงินปนเหลืองจนถึงเหลืองล้วนทั้งตัว ปลาหมอสีในทะเลสาบมาลาวีมีหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มนอนเอ็มบูนา มีประมาณ 250 ชนิด 38 สกุล การจำแนกสกุลโดยใช้แพทเทิร์นของเมลานิน (เม็ดสีประเภทสีดำที่อยู่ในผิวหนังของปลา) เป็นหลัก ความยาวโดยเฉลี่ย 15 เซนติเมตร เช่น ปลาหมอคริสตี้ ปลาหมอมาลาวีเหลือง ปลาหมอมาลาวีน้ำเงินคอแดง ปลาหมอมาลาวีน้ำเงิน ปลาหมอรอสตราตัส ปลาหมออิเล็กทริกบลู เป็นต้น
กลุ่มเอ็มบูนา มี 250 ชนิด 10 สกุล การจำแนกสกุลใช้ลักษณะของฟันเป็นหลัก เป็นปลาที่มีสีสวยสะดุดตาความยาว 10-12 เซนติเมตร เช่น ปลาหมอกล้วยหอม ปลาอีสเทิร์นบลู ปลาหมอดีมาสัน ปลาหมอลิลลี่
 แทนแกนยีกา เป็นทะเลสาบที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 7 และมีความลึกเป็นอันดับสองของโลก ระดับอุณหภูมิสูงประมาณ 26 องศาเซลเซียสเกือบตลอดทั้งปี ความเป็นกรดเป็นด่างจะอยู่ระหว่าง 8.8-9.3 จากระดับน้ำที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทำให้เกิดการปะปนประชากรปลาในกลุ่มต่าง ๆ และจากการปรับตัวจึงเกิดปลาชนิดใหม่ซึ่งความสามารถดังกล่าวมีเหตุผล 3 ประการคือ
1. ปลาหมอสีอาศัยอยู่ในน้ำจืดได้ดีและสามารถทนต่อน้ำเค็มได้ดี
2. ปลาหมอสีมีอวัยวะพิเศษที่สามารถเก็บกักปริมาณออกซิเจนได้นาน ทำให้ไม่ต้องโผล่ฮุบน้ำบ่อย ๆ และลูกปลาวัยอ่อนสามารถอยู่ในน้ำที่มีออกซิเจนต่ำ
3. ปลาหมอสีมีการดูแลลูก อมไว้ในปากของแม่ปลา ซึ่งเป็นแหล่งที่ปลอดภัยที่สุด ปลาหมอสีที่อาศัยอยู่ในทะเลสาบแทนแกนยีกา เช่น ปลาหมอฟรอนโตซ่า ปลาหมอแซงแซว ปลาหมอดูบอยซี่ ปลาลองจิออร์
 วิกตอเรีย เป็นทะเลสาบที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก ภูมิอากาศอยู่ในเขตศูนย์สูตร
มีความลึก 60-100 เมตร ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของปลาในระดับต่าง ๆ ประมาณ 300 ชนิด แต่เนื่องจาก ปี พ.ศ. 2493 และ พ.ศ. 2503 ได้มีการนำปลาสกุลกะพงขาวจากแม่น้ำไนล์ไปปล่อยในทะเลสาบวิกตอเรีย ต่อมาในปี พ.ศ. 2528 ปลากะพงขาวได้ออกลูกหลานแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและจับปลาหมอสีวิกตอเรียกินเป็นอาหารหลัก ซึ่งส่งผลให้ปลาหมอวิกตอเรียสูญพันธุ์ไปแล้วกว่า 100 ชนิด สำหรับปลาที่ยังคงมีอยู่ได้แก่ ปลาหมออ๊อบลิคิวเดนซ์ ปลาหมอในเออร์รี ปลาหมอบราวนี
 อเมริกากลางและอเมริกาใต้ ปลาหมอสีในภูมิภาคนี้มีรูปร่าง วิถีชีวิตและพฤติกรรมแตกต่างไปจากหมอสีมาลาวี หมอสีแทนแกนยีกา และวิกตอเรีย สำหรับปลาในกลุ่มอเมริกากลาง ได้แก่ ปลาหมอริวูเลตัส ปลาหมอบราซิเบียน ปลาหมอหมอคาพินเต้ หรือกรีนเท็กซัส ปลาหมอฟลามิงโกหรือเรด เดฟเวิล ปลาหมอมาคู ปลาหมอตาแดง
ส่วนปัจจัยที่ทำให้ปลาหมอสีมีสีสันก็คือ สิ่งแวดล้อมปลาจะไม่มีสีฉูดฉาดหากอาศัยอยู่ในที่ซึ่งต้องพรางตัว แต่ในฤดูผสมพันธุ์จะมีสีสันสดใสเพื่อดึงดูดเพศตรงข้ามและประเด็นสำคัญ คือ ตัวเมียต้องสามารถจำตัวผู้ที่จะทำการผสมพันธุ์ว่าเป็นชนิดเดียวกันหรือไม่ ซึ่งเป็นที่มาของการผสมข้ามพันธุ์ อย่างไรก็ตามปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดสีสันของปลาตัวผู้นั้นก็คือ ปลาตัวเมียที่เป็นคู่ของมันนั่นเอง
         เกี่ยวกับแหล่งกำเนิดปลาหมอสีนั้น คุณสมโภชน์ อัคคะทวีวัฒน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านอนุกรมวิธานสัตว์น้ำ กรมประมง ได้กล่าวไว้ในหนังสืออนุกรมวิธานปลาหมอสีในประเทศไทยและได้ฝากบอกมายังท่านสมาชิกวารสารอีกว่า ก่อนตัดสินใจเลี้ยงปลาหมอสีจะต้องศึกษาข้อมูลหลายประการ เนื่องจากการเลี้ยงปลาสวยงามเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ เช่น ชนิดของปลาหมอสี พฤติกรรม ถิ่นกำเนิด น้ำ แสงสว่าง อาหาร และการตกแต่งตู้ เพราะปลาหมอสีมาจากแหล่งที่มีความหลากหลายทั้งทางด้านกายภาพและชีวภาพ ปลาหมอสีที่เลี้ยงในบ้านเรา ส่วนใหญ่มาจากทะเลสาบมาลาวีและแทนแกนยีกา ปลาที่มาจากทะเลสาบเดียวกันควรอยู่ในตู้เดียวกัน ถ้าแบ่งกลุ่มเลี้ยงเป็นตู้ฯ ก็จะสะดวกในการดูแล เพราะปลาแต่ละกลุ่มกินอาหารแตกต่างกัน สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ ด้านใดด้านหนึ่งของตู้ปลาต้องทาด้วยสีดำหรือสีน้ำเงินปนดำหรือใช้กระดาษหรือฟิล์มปิดแทนก็ได้เพื่อช่วยลดความเครียด เพราะเมื่อปลาหมอสีตื่นตกใจก็จะหลบอยู่ในมุมที่มีแสงสว่างน้อย
 ขนาด ตู้เลี้ยงปลาควรมีขนาดใหญ่ ความจุไม่น้อยกว่า 500 ลิตร แต่ถ้ามีตู้เล็กก็แยกเลี้ยงเพียงตู้ละหนึ่งตัวตู้ด้านบนมีฝาปิดเพื่อป้องกันการระเหยของน้ำ และช่วยให้อุณหภูมิของน้ำไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก
 แสงสว่าง ควรให้แสงสว่างที่เหมาะสม หากแสงสว่างมากเกินไปจะทำให้ปลาไม่ออกสี ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรง
 การตกแต่ง ปัจจุบันวัสดุที่ใช้ในการตกแต่งได้มีการเลียนแบบธรรมชาติ เช่น ก้อนหินทำจากไฟเบอร์กลาส ถ้าใช้ของจริงควรเลือกใช้วัสดุที่เบาและไม่มีสารพิษละลายน้ำได้ อาจใช้กรวดหรือทรายธรรมชาติล้างให้สะอาด แช่น้ำทิ้งไว้หลาย ๆ วัน เพื่อชำระล้างสิ่งสกปรก ที่ติดมากับหินและทรายให้หมด หากใช้ก้อนหินจริงที่มีขนาดใหญ่วางบนพื้นทราย ปลาจะขุดคุ้ยทรายและทำให้ก้อนหินล้มลงกระทบกระจกตู้ปลาแตกเสียหายได้
 น้ำเลี้ยงปล น้ำในทะเลสาบมาลาวีมีค่าความเป็นกรดเป็นด่างเฉลี่ยประมาณ 8.8 ฉะนั้นน้ำไม่ควรอยู่ในช่วง 7.0 -8.5 อุณหภูมิปกติ 23-28 องศาเซลเซียส ปลาจากทะเลสาบแทนแกนยีกา ควรมีค่าของน้ำระหว่าง 7.8 - 9.5 ปัจจุบันร้านจำหน่ายอุปกรณ์การเลี้ยงปลาสวยงามมีเกลือที่ใช้ปรับค่าความเป็นกรดเป็นด่างของน้ำได้ ส่วนปลาที่มาจากทะเลสาบวิกตอเรีย อเมริกากลางและอเมริกาใต้ไม่มีปัญหาเรื่องความเป็นกรดเป็นด่างและอุณหภูมิของน้ำ
 ข้อควรระวัง ปลาที่นำเข้ามาทุกครั้งก่อนปล่อยลงตู้หรือบ่อเลี้ยงควรวัดค่าความเป็นกรดเป็นด่างของน้ำในถุงด้วย ถ้ามีความแตกต่างกับน้ำในตู้ปลาควรปรับให้มีค่าใกล้เคียงกันมากที่สุด ซึ่งทำง่ายโดยใช้กระดาษลิตมัส
 อาหาร ปลาหมอสีสามารถปรับตัวได้ดีกินอาหารได้ทุกประเภท แต่ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีส่วนผสมไขมันจากเนื้อสัตว์ เพราะไขมันจะไปทำลายตับของปลาเหล่านี้ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ปลาที่เลี้ยงตาย ฉะนั้นอาหารที่ใช้เลี้ยงควรมีส่วนผสมที่ใกล้เคียงกับอาหารธรรมชาติมากที่สุด ปลาหมอสีกินพืช ควรเลี้ยงอาหารปลากินพืช พวกปลากินสัตว์ เช่น กุ้ง ไรน้ำเค็ม หรืออาหารสำเร็จรูปที่ใช้เลี้ยงกับอาหารสำเร็จรูปที่ใช้โดยทั่วไปควรมีส่วนประกอบของกากถั่ว กุ้ง สาหร่ายเกลียวทอง ปริมาณอาหารไม่ควรให้เกินความต้องการของปลา จะทำให้ปลาอ้วนและอ่อนแอ ในกรณีเลี้ยงเพื่อการเพาะพันธุ์ ถ้าให้อาหารมากเกินไปจะทำให้ปลาไม่มีไข่และน้ำเชื้อ
ธรรมชาติของปลาหมอสีเป็นปลาที่อดทน สามารถอดอาหารนับสิบวัน หากท่านไม่อยู่บ้าน 5 - 10 วัน ปลาก็สามารถอยู่ได้อย่างปกติ แม้ว่าในแหล่งน้ำธรรมชาติมีอาหารจำกัด โดยเฉพาะแม่ปลาที่ฟักไข่ด้วยปาก ต้องอมไข่จนไข่ฟักเป็นตัว และอมต่อไปจนกระทั่งลูกปลาสามารถว่ายน้ำออกจากปาก เพื่อหากินอาหารต่อไป ซึ่งใช้เวลาอีก 15-20 วัน ในระยะนี้แม่ปลาจะไม่กินอาหารใด ๆ ทั้งสิ้น

ที่มาhttp://www.nicaonline.com/articles/site/view_article.asp?idarticle=77

การเปลี่ยนน้ำปลา

การเปลี่ยนน้ำปลา

ควรให้อาหารอย่างน้อยที่สุด 2 มื้อ แต่ละมื้อควรให้ปลากินหมดภายใน 10 นาที
ตักเศษอาหารหรือเศษใบไม้ ต้นไม้ที่ตายออก สังเกตปลาในตู้ถ้ามีปลาป่วยให้แยกออกมาดูแล นับจำนวนปลาด้วยว่าอยู่ครบหรือไม่
ทุกสัปดาห์ ควรตรวจสอบอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้ให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ ทำความสะอาดกระจกตู้ด้านใน เปลี่ยนน้ำประมาณ 10-20 % ของปริมาตรน้ำทั้งหมด ทำความสะอาดระบบกรองน้ำภายนอกตู้ และตรวจคุณภาพน้ำ
ทุกเดือน เปลี่ยนน้ำประมาณ 50 % ของตู้ โดยเน้นดูดน้ำบริเวณหินหรือกรวดรองพื้น
ทุก 3 เดือน ควรจัดและตกแต่งภายในตู้ใหม่ ทำความสะอาดหิน กรวด ทราย และระบบกรองน้ำทั้งหมด
กิจกรรมดังกล่าวเป็นแค่เพียงตัวย่าง ซึ่งผู้เลี้ยงสามารถปรับ ดัดแปลงให้เข้ากับการเลี้ยงของตนเองได้

การปรับค่า pH ของน้ำในการเลี้ยงปลา
  หลายคนอาจเคยสงสัยเมื่ออ่านหนังสือคู่มือแนะนำการเลี้ยงปลา ต่าง ๆ ว่าทำไมน้ำที่ใช้เลี้ยงปลานั้น ต้องกำหนดค่า pH ที่ต่าง ๆ กัน แล้วเราจะมีวิธีการปรับค่า pH ให้เป็นไปตามที่เราต้องการได้อย่างไร
ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า ค่า pH นี้ก็คือ ค่าที่ใช้ในการวัดระดับ ความเป็น กรด-ด่าง ของน้ำและของเหลวต่าง ๆ ซึ่งเราจะรู้ได้โดยการใช้ พีเอชมิเตอร์ หรือ กระดาษวัดพีเอช วัดดู ( ค่าที่ได้ จะมีตั้งแต่ 0 - 14 )
pH ที่ 7 แสดงว่า เป็นกลาง
pH ต่ำกว่า 7 แสดงว่า เป็นกรด
pH สูงกว่า 7 แสดงว่า เป็นด่าง
เมื่อรู้อย่างนี้แล้วเรามีวิธีการปรับค่า pH ของน้ำให้เป็นไปตามที่เราต้องการมาฝากกัน ...                                                                
- ถ้าน้ำเราเตรียมไว้มีค่า pH ต่ำกว่าเกณฑ์ที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของพันธุ์ปลาของเรา ( คือมีความเป็นกรดสูงกว่าที่เราต้องการ ) ให้แก้โดยการใส่ปูนขาว หรือสารละลายพวกโปรแตสเซียมไฮดรอกไซด์
- ถ้าในกรณีตรงกันข้าม น้ำที่เตรียมไว้กลับมี ค่า pH สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ( คือเป็นด่าง ) ให้แก้โดยการ ใส่กรดไฮโดรคลอริก หรือ แอมโมเนียมซัลเฟต

ที่มาhttp://www.thaigoodview.com/library/studentshow/st2545/4-5/no20/pleangnampla.html